Smash

รีวิวซีรีส์ Smash ดราม่าเข้มข้นและโลกเบื้องหลังบรอดเวย์

ในบรรดาซีรีส์แนวดนตรีที่เคยออกอากาศ Smash ถือเป็นผลงานที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยการผสมผสานระหว่างละครเพลงสุดอลังการกับเบื้องหลังของโลกบรอดเวย์ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การหักหลัง และการไล่ล่าความฝัน ซีรีส์นี้ออกอากาศในปี 2012–2013 มีทั้งหมด 2 ซีซัน แม้จะจบลงเพียงสั้น ๆ แต่ก็ทิ้งความประทับใจให้กับผู้ชมสายมิวสิคัลไปไม่น้อย

เรื่องย่อ

Smash เริ่มต้นจากความพยายามของทีมโปรดิวเซอร์ Julia (Debra Messing) และ Tom (Christian Borle) ที่ต้องการสร้างละครเพลงใหม่ซึ่งเล่าเรื่องราวของ มาริลีน มอนโร ไอคอนแห่งยุคทองของฮอลลีวูด พวกเขาต้องเฟ้นหานักแสดงที่จะมารับบทนำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อมีผู้ท้าชิงสองคนที่ต่างกันสุดขั้ว

Karen Cartwright (Katharine McPhee) สาวบ้านนอกจากไอโอวา ผู้มีน้ำเสียงสดใสและเต็มไปด้วยความฝัน แต่ยังขาดประสบการณ์บนเวทีใหญ่

Ivy Lynn (Megan Hilty) นักแสดงบรอดเวย์ที่โลดแล่นบนเวทีมานาน เธอมีทั้งพรสวรรค์และเสน่ห์เซ็กซี่ แต่กลับถูกมองข้ามเสมอ

การเลือกว่าจะให้นักแสดงคนใดรับบทมาริลีน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันที่ดุเดือด และยังเปิดเผยเบื้องหลังวงการละครเวทีที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแรงกดดัน

จุดเด่นของซีรีส์

เพลงใหม่สุดอลังการ – ซีรีส์สร้างเพลงออริจินัลเพื่อใช้แสดงในละครเวทีภายในเรื่อง เพลงอย่าง Let Me Be Your Star กลายเป็นที่จดจำและสะท้อนถึงหัวใจของการแสวงหาความสำเร็จ

ดราม่าเข้มข้น – ไม่ใช่แค่การแข่งขันของ Karen และ Ivy แต่ยังมีปัญหาส่วนตัวของทีมงาน ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน และการแย่งชิงอำนาจของโปรดิวเซอร์

การแสดงที่สมจริง – Katharine McPhee ถ่ายทอดบทบาทสาวบ้านนอกที่มุ่งมั่นได้น่ารักและน่าเอาใจช่วย ส่วน Megan Hilty สะกดผู้ชมด้วยพลังเสียงและเสน่ห์ที่เหมาะกับการเป็นดาวเด่น

เบื้องหลังบรอดเวย์ที่น่าสนใจ – ผู้ชมจะได้เห็นกระบวนการสร้างละครเวที ตั้งแต่การคัดเลือกนักแสดง การฝึกซ้อม ไปจนถึงแรงกดดันจากสปอนเซอร์และนักวิจารณ์

รีวิวโดยรวม

Smash ไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์เพลง แต่ยังเป็นการสะท้อนความจริงของโลกการแสดงที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความไม่แน่นอน แม้ผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยกับบรอดเวย์ก็ยังสามารถเข้าถึงได้ เพราะตัวละครมีความเป็นมนุษย์สูง ทั้งความฝัน ความรัก ความผิดหวัง และการต่อสู้เพื่อยืนอยู่บนเวทีที่ตนเองรัก

จุดแข็งที่สุดของซีรีส์คือเพลงที่ทั้งไพเราะและทรงพลัง ผสมเข้ากับดราม่าเข้มข้นที่ทำให้ผู้ชมต้องลุ้นทุกตอนว่าใครจะได้เป็นดาวเด่นตัวจริงของละครเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังมีนักแสดงสมทบที่ช่วยเติมสีสัน เช่น Jack Davenport ในบทโปรดิวเซอร์จอมเจ้าชู้ และ Anjelica Huston ในบทโปรดิวเซอร์หญิงผู้เด็ดขาด

แม้ซีรีส์จะถูกยกเลิกหลังซีซันที่ 2 ด้วยเรตติ้งที่ไม่สูงนัก แต่ก็กลายเป็นผลงานที่ยังถูกพูดถึงในหมู่แฟนมิวสิคัล และเป็นแรงบันดาลใจให้วงการบรอดเวย์จริง ๆ จนนำไปสู่การสร้างละครเวที “Bombshell” ขึ้นมาในชีวิตจริง

เหมาะกับใคร?

ผู้ที่ชื่นชอบซีรีส์แนวมิวสิคัลและดนตรี

คนที่สนใจเบื้องหลังการสร้างละครเวที

ผู้ชมที่ชอบดราม่าการแข่งขันเข้มข้นแบบสะใจ

คะแนนรีวิวส่วนตัว: 8/10

แม้จะมีความยืดเยื้อบางช่วง แต่เรื่องนี้ยังคงเป็นซีรีส์ที่น่าดูสำหรับคนรักเสียงเพลงและเวทีละคร มันทั้งสวยงาม เข้มข้น และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ

Scroll to Top