
Klaus แอนิเมชันจาก Netflix ที่พลิกตำนานซานตาคลอสให้เป็นเรื่องราวแสนซาบซึ้งของมิตรภาพ การเปลี่ยนแปลง และพลังแห่งการให้ พร้อมภาพสวยสไตล์ 2D ผสม 3D ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
เรื่องย่อ
เรื่องราวเริ่มจาก Jesper Johansen ลูกชายของผู้อำนวยการไปรษณีย์ผู้มั่งคั่ง ที่ถูกส่งไปทำงานในเมืองห่างไกลชื่อ Smeerensburg เนื่องจากนิสัยขี้เกียจและไม่เอาไหน พ่อของเขาหวังว่าการไปอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บและการทะเลาะวิวาทจะทำให้เขาเปลี่ยนตัวเอง
เมื่อมาถึง Jesper พบว่าเมืองนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองตระกูลใหญ่ที่เกลียดชังกันอย่างรุนแรง ไม่มีใครส่งจดหมาย ไม่มีการติดต่อกัน และไม่มีความสุขใด ๆ จนวันหนึ่ง Jesper ได้พบกับ คลาอัส ช่างไม้ผู้โดดเดี่ยวที่อาศัยอยู่ในบ้านกลางป่า มีโกดังเต็มไปด้วยของเล่นไม้ที่เขาเคยทำไว้
ทั้งสองเริ่มร่วมมือกันโดยบังเอิญ เมื่อ Jesper คิดแผนให้เด็ก ๆ ในเมืองเขียนจดหมายถึงคลาอัส เพื่อขอของเล่น ทำให้เด็ก ๆ เริ่มมีความสุขและคนในเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย แต่ความพยายามของพวกเขาก็ถูกขัดขวางจากหัวหน้าตระกูลทั้งสองที่ไม่ต้องการให้ความสงบเกิดขึ้น

จุดเด่นของแอนิเมชัน
เนื้อเรื่องพลิกมุมมองซานตาคลอส – ไม่ใช่ตำนานเหนือจริง แต่เป็นเรื่องราวที่มีเหตุผลและความเป็นมนุษย์
ภาพสวยสไตล์เฉพาะตัว – ใช้เทคนิค 2D ที่ให้ความลึกเหมือน 3D พร้อมแสงเงาที่ละเอียดงดงาม
ธีมการให้และการเปลี่ยนแปลง – ถ่ายทอดว่าการกระทำเล็ก ๆ สามารถจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ได้
ตัวละครมีเสน่ห์ – ทั้ง Jesper และ คลาอัส มีพัฒนาการที่จับใจผู้ชม
ดนตรีประกอบอบอุ่นหัวใจ – เสริมบรรยากาศให้ซึ้งและอินไปกับเนื้อเรื่อง

รีวิวแบบละเอียด
Klaus เป็นหนึ่งในแอนิเมชันที่พิสูจน์ว่า พลังของเรื่องราวและงานศิลป์แบบดั้งเดิม ยังสามารถสร้างความประทับใจได้ไม่แพ้เทคโนโลยีล้ำสมัย หนังเลือกใช้การวาดภาพแบบ 2D แต่เพิ่มแสงเงาและความลึกให้ดูเหมือน 3D ทำให้ภาพมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
บทภาพยนตร์ชาญฉลาดในการเล่าเรื่อง โดยนำตำนานซานตาคลอสที่ผู้คนคุ้นเคยมาปรับเป็นเรื่องราวของมนุษย์สองคนที่มีบาดแผลในใจ Jesper จากคนขี้เกียจที่เอาแต่ใจ กลายเป็นคนที่เห็นคุณค่าของการช่วยเหลือผู้อื่น ส่วน Klaus จากชายผู้โศกเศร้าเพราะการสูญเสีย กลายเป็นคนที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งผ่านรอยยิ้มของเด็ก ๆ
ความน่าสนใจคือหนังไม่ได้ใช้เวทมนตร์เหนือจริงเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ใช้ “การกระทำ” ของคนเป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน ทุกสิ่งเกิดจากความตั้งใจและความหวังดีเล็ก ๆ ที่ส่งต่อเป็นลูกโซ่ จนเปลี่ยนทั้งเมืองจากความมืดหม่นให้เต็มไปด้วยความอบอุ่น
ดนตรีประกอบโดย Alfonso G. Aguilar และเพลง “Invisible” ของ Zara Larsson เติมเต็มบรรยากาศให้ผู้ชมรู้สึกซาบซึ้งและมีแรงบันดาลใจ ขณะเดียวกันมุกตลกเล็ก ๆ แทรกอยู่ตลอดเรื่องช่วยทำให้หนังไม่หนักเกินไป
ธีมสำคัญที่หนังนำเสนอ
การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน – จุดประกายความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
มิตรภาพและการเยียวยา – คนสองคนที่ต่างโดดเดี่ยวกลับช่วยกันฟื้นหัวใจของอีกฝ่าย
พลังของการเปลี่ยนแปลง – แม้ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ก็ยังมีโอกาสพลิกกลับได้
คะแนนประเมิน (ส่วนตัว)
บทและการเล่าเรื่อง: ⭐⭐⭐⭐⭐ (5/5)
งานภาพและแอนิเมชัน: ⭐⭐⭐⭐⭐ (5/5)
ตัวละครและการพัฒนา: ⭐⭐⭐⭐⭐ (5/5)
ดนตรีประกอบ: ⭐⭐⭐⭐½ (4.5/5)
ความคุ้มค่าโดยรวม: 9.7/10