Kingdom of the Planet of the Apes

รีวิว Kingdom of the Planet of the Apes โทนเรื่องสดใหม่ แต่ฉากสงครามอาจจะไม่เร้าใจมาก

🦍 Kingdom of the Planet of the Apes ปฐมบทใหม่แห่งพิภพวานรที่ “สดใหม่” ด้วยมิติทางความคิด แต่ลดทอนความ “เร้าใจ” ในสมรภูมิ Kingdom of the Planet of the Apes: อาณาจักรแห่งพิภพวานร นับเป็นการเริ่มต้นไตรภาคใหม่ที่กล้าหาญและน่าจับตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการตัดสินใจทิ้งช่วงห่างจากมหากาพย์ของ ซีซาร์ ไปถึง 300 ปี ซึ่งมอบโอกาสให้แก่ผู้สร้างในการสร้างโลกและโทนเรื่องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ที่ได้คือภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึก สดใหม่ ด้วยการสำรวจประเด็นทางสังคม การเมือง และศาสนาในมุมมองที่ลุ่มลึกขึ้น แต่ในทางกลับกัน การมุ่งเน้นที่การปูรากฐานของยุคสมัยใหม่นี้ ก็ทำให้องค์ประกอบด้าน ฉากสงครามและการต่อสู้ ที่เคยเป็นจุดเด่นในไตรภาคก่อน ถูกลดทอนความเข้มข้นลงไปอย่างเห็นได้ชัด

🗺️ โครงสร้างเรื่องราว: การเดินทางเพื่อค้นหาความจริงและความหมายของ “มรดก”

ภาพยนตร์ภาคนี้ให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องแบบ การผจญภัย (Adventure) และ การค้นพบ (Discovery) มากกว่าจะเป็น มหาสงคราม (War) ที่เคยเป็นแกนหลักในภาค War for the Planet of the Apes โฟกัสหลักอยู่ที่ โนอา (Noa) วานรหนุ่มเผ่าลิงชิมแปนซีที่ใช้ชีวิตอย่างสงบในหุบเขา ก่อนที่ชีวิตจะพลิกผันเมื่อถูกรุกรานจากเผ่าพันธุ์วานรที่โหดเหี้ยมภายใต้การนำของ พร็อกซิมัส ซีซาร์ (Proximus Caesar) การเดินทางของโนอาจึงเป็นไปเพื่อกอบกู้เผ่าพันธุ์ และในขณะเดียวกัน ก็คือการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และการทำความเข้าใจกับ “มรดกของซีซาร์” ที่ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลานี่คือความ สดใหม่ ที่น่าสนใจที่สุดของภาคนี้:

  • โทนเรื่องที่เปลี่ยนไป: หนังไม่ได้มืดหม่นหรือหนักอึ้งด้วยความขัดแย้งเชิงศีลธรรมเท่าภาคก่อน แต่จะมีความรู้สึกแบบ “โลกใบใหม่” ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความหวังที่ริบหรี่ คล้ายกับการเริ่มต้นตำนานแฟนตาซีใหม่ ๆ
  • การสำรวจอำนาจและอุดมการณ์: พร็อกซิมัส ซีซาร์ คือภาพสะท้อนของการนำอุดมการณ์อันสูงส่งของซีซาร์มาใช้เพื่อแสวงหาอำนาจส่วนตน ตัวละครนี้เป็นเสมือนทรราชที่ใช้ศาสนาและความเชื่อเป็นเครื่องมือ เป็นการวิพากษ์สังคมที่เฉียบคมและเชื่อมโยงกับโลกปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
  • ความสัมพันธ์ระหว่างวานร-มนุษย์-ความรู้: การปรากฏตัวของ เม (Mae) มนุษย์ปริศนาที่สามารถพูดได้และมีความฉลาด เป็นการเปิดปมความขัดแย้งที่สำคัญของไตรภาคใหม่ การช่วงชิง ความรู้ และ อารยธรรมที่สูญหาย กลายเป็นเดิมพันที่ใหญ่กว่าแค่การอยู่รอด ซึ่งเป็นประเด็นที่ลุ่มลึกและชวนให้ติดตาม
Kingdom of the Planet of the Apes

💥 จุดที่อาจไม่เร้าใจ: เมื่อสงครามถูกลดความสำคัญ

สำหรับผู้ชมที่ประทับใจกับฉากแอ็กชันอันดุดัน สมจริง และเต็มไปด้วยอารมณ์ในไตรภาคของซีซาร์ โดยเฉพาะในภาค War ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ อาจรู้สึกว่า ฉากสงคราม ใน Kingdom of the Planet of the Apes นั้น ไม่เร้าใจเท่าที่ควร

  • เน้นแอ็กชันขนาดเล็ก: ฉากต่อสู้ส่วนใหญ่เป็นการปะทะกันในระดับบุคคล หรือกลุ่มเล็ก ๆ ที่เน้นไปที่การผจญภัยและการหลบหนี
  • ขาดความยิ่งใหญ่ของสมรภูมิ: หากเปรียบเทียบกับฉากการสู้รบระหว่างวานรกับกองทัพมนุษย์ในภาคก่อน ๆ ฉากปะทะครั้งใหญ่ในภาคนี้ค่อนข้างรวบรัด และไม่ได้มอบความรู้สึกถึง “มหาสงคราม” ที่ผลลัพธ์จะพลิกผันชะตากรรมของโลกมากนัก แต่เน้นไปที่การต่อสู้เพื่อ อุดมการณ์ มากกว่า การยึดครอง
  • การปูทางเป็นหลัก: การที่หนังทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการพัฒนาตัวละครโนอา และการสำรวจโลกใหม่ ทำให้จังหวะของหนังมีความเนิบช้าในบางช่วง เพื่อให้ผู้ชมได้ซึมซับกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่กลับมาทวงคืนโลก และความซับซ้อนของสังคมวานร ซึ่งส่งผลให้จังหวะการระเบิดความมันส์แบบเต็มพิกัดมีน้อยลง

🎬 บทสรุป: อาณาจักรที่สร้างขึ้นด้วยวิสัยทัศน์

Kingdom เป็นภาพยนตร์ที่ตั้งใจจะเป็น ปฐมบทที่ยอดเยี่ยม และทำหน้าที่นั้นได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะแลกมาด้วยความตื่นเต้นของฉากแอ็กชันที่ลดลง แต่ก็ถูกทดแทนด้วย การสำรวจโลกอันกว้างใหญ่ และ ประเด็นเชิงปรัชญาที่เข้มข้น แทนที่การถามว่า “วานรจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างไร” หนังกลับตั้งคำถามใหม่ว่า “วานรจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของมนุษย์ได้หรือไม่”

นี่คือภาพยนตร์ที่ใช้เวลาในการวางรากฐาน เตรียมพร้อมสำหรับการปะทุครั้งใหญ่ในอนาคต หากคุณเป็นแฟนที่ชื่นชอบมิติทางความคิด การพัฒนาตัวละคร และการสร้างโลกที่น่าทึ่ง ภาคนี้จะตอบโจทย์คุณได้เป็นอย่างดี ส่วนผู้ที่คาดหวังเพียงฉากสงครามระดับมหากาพย์ อาจจะต้องลดความคาดหวังลงเล็กน้อย แต่เชื่อได้เลยว่าได้ปูพรมแดงไปสู่ไตรภาคใหม่ที่ยิ่งใหญ่และมีศักยภาพในการสานต่อตำนานได้อย่างน่าตื่นเต้นแน่นอน


✨ จุดเด่นที่ต้องชื่นชม:

  • งานวิชวลเอฟเฟกต์ (CGI) ระดับเทพ: การถ่ายทอดอารมณ์ของเหล่าวานรยังคงทำได้สมจริงจนน่าทึ่ง
  • การสร้างโลก (World-Building): โลกที่มนุษย์ล่มสลายและธรรมชาติกลับมาทวงคืนนั้นสวยงามและชวนขนลุก
  • ประเด็นปรัชญา: การบิดเบือนศาสนา/มรดก และการช่วงชิงความรู้เป็นแกนเรื่องที่ลุ่มลึก

คำแนะนำ: ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชอบภาพยนตร์ไซไฟ/แฟนตาซีที่เน้นการผจญภัย การสำรวจโลก และการวิพากษ์สังคม หากคุณตามหาหนังที่จบในตัวด้วยสงครามครั้งใหญ่ อาจจะต้องอดใจรอภาคต่อไป


Scroll to Top