โอ๊ยยย! ในที่สุดก็ถึงคิว Wicked: For Good หรือ วิคเค็ด 2 ที่เป็นบทสรุปของตำนานแม่มดแห่งออซที่เราตั้งตารอมาเกือบปี! ใครที่อินกับ Part 1 แล้วร้องเพลง Defying Gravity จนคอแหบอย่างเราๆ เนี่ย บอกเลยว่าภาคนี้มันคือการเดินทางที่ เต็มอิ่ม…แต่ก็แอบมีติดขัดอยู่บ้าง ตามสไตล์ Act 2 ของละครเวทีที่ต้องรีบเก็บปมทั้งหมดเพื่อไปสู่บทสรุปที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว!
👑 มิตรภาพที่บาดลึกกว่าเดิม
สิ่งที่ต้องปรบมือให้ดังๆ ตั้งแต่วินาทีแรกยันเครดิตจบก็คือ เคมีและพลังการแสดงของสองสาวนำ ครับ/ค่ะ! Cynthia Erivo ในบท Elphaba (แม่มดเขียว) ในบท Glinda (แม่มดดี) คือ หัวใจและวิญญาณ ของหนังเรื่องนี้จริงๆ
- Elphaba ผู้แบกความรู้สึก: ในภาคนี้ Elphaba ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่หนักอึ้งมากค่ะ ทั้งการถูกตามล่าในฐานะ “แม่มดชั่วร้าย” และการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง การแสดงของ Erivo มัน ทรงพลัง มากๆ โดยเฉพาะในเพลงใหญ่ๆ ที่แสดงความโกรธ ความเจ็บปวด และการยอมรับในชะตากรรม (อย่างเพลง No Good Deed นี่คือเดือดสุดๆ!)
- Glinda ที่เติบโตอย่างเจ็บปวด: Glinda ใน Part 2 ไม่ใช่สาวน้อยใสๆ ขี้เล่นเหมือนที่ Shiz อีกต่อไปแล้วค่ะ เธอต้องเลือก… เลือกระหว่างความรัก (Fiyero), มิตรภาพ (Elphaba), และอำนาจ/สถานะทางสังคม การเห็น Ariana Grande แสดงความ อ่อนแอ สับสน และความรู้สึกผิดภายใต้รอยยิ้มที่สดใส มันทำให้ตัวละคร Glinda มีมิติที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมมาก!
“For Good” เพลงคู่ในตำนานที่ให้ชื่อภาคนี้… บอกเลยว่าเตรียมทิชชู่ไว้ข้างๆ เลยค่ะ! มันคือฉากที่งดงามและกินใจที่สุดของหนัง!

⚙️ ปัญหาของ Act 2 คือการรีบเก็บงาน!
จอน เอ็ม. ชู เพราะนี่คือการรีวิวแบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง! ปัญหาใหญ่ของ Wicked: For Good (เหมือนกับ Act 2 ของละครเวทีส่วนใหญ่) คือการที่มันต้อง รีบเร่ง เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดเข้ากับจักรวาล The Wizard of Oz ที่เราคุ้นเคย
- การผูกปมที่รวบรัดเกินไป: การที่เรื่องราวของ Scarecrow, Tin Man, หรือ Cowardly Lion ต้องถูกใส่เข้ามาเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงกับหนังออริจินัล มันทำให้บางช่วงของหนังดู ยัดเยียด และ ขาดความต่อเนื่อง ของอารมณ์ไปบ้างค่ะ คือเราอินกับดราม่าของ Elphaba กับ Glinda อยู่ดีๆ อ้าว! ต้องมาใส่เรื่องราวของตัวละครใหม่ๆ เพื่อให้มัน “ลงล็อก” ซะแล้ว
- เพลงใหม่ที่ยังไม่ติดหู: เพลงเก่าๆ ที่เราคุ้นเคยยังคงเป็น “Banger” ที่สุดของเรื่อง แต่เพลงใหม่ที่แต่งเพิ่มมาสำหรับหนังโดยเฉพาะ (ซึ่งมีไม่เยอะ) รู้สึกว่ายังไม่ค่อย ว้าว หรือติดหูเท่ากับเพลงจาก Part 1 ค่ะ ทำให้บางช่วงที่เพลงใหม่ขึ้นมา…ความพีคของหนังมันเลยดร็อปลงไปนิดนึง

✨ โปรดักชั่นยังคงอลังการตาแตก!
เรื่องงานภาพและโปรดักชั่นนี่คือ ยืนหนึ่ง ค่ะ!
- สีสันจัดจ้าน: ถึงแม้โทนเรื่องจะเข้มข้นและมืดหม่นกว่า Part 1 แต่ฉากต่างๆ ในเมืองมรกตและเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยังคง อลังการงานสร้าง และเต็มไปด้วยดีเทลที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกออซจริงๆ
- การกำกับภาพที่น่าทึ่ง: ผู้กำกับ Jon M. Chu ยังคงทำหน้าที่ได้ดีในการแปลงฉากบนเวทีให้กลายเป็นภาพยนตร์ โดยเฉพาะฉากเพลงที่ต้องใช้มุมกล้องและการเคลื่อนที่ของนักแสดงที่ซับซ้อน มันทำออกมาได้สวยงามและมีชีวิตชีวามาก

📝 สรุป: ดูแล้วเสียน้ำตา… แต่ก็แอบมีหงุดหงิดนิดหน่อย!
“Wicked: For Good วิคเค็ด 2” คือบทสรุปที่ เต็มไปด้วยอารมณ์ และ ให้เกียรติ กับมิตรภาพของสองแม่มดอย่างแท้จริงค่ะ ถ้าคุณรัก Part 1 คุณก็จะยังรัก Part 2 เพราะแกนหลักของหนังยังแข็งแรงมากๆ แต่ถ้ามองอย่างเป็นกลาง มันคือหนังที่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งในการเป็น สะพานเชื่อม สู่ปลายทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ทำให้บางจังหวะมันเลยดูเหมือนรีบๆ ไปหน่อยค่ะ
แต่เชื่อเถอะค่ะ… คุณจะนั่งติดเก้าอี้ไปจนจบ และฉากสุดท้ายจะทำให้คุณ น้ำตาซึม ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนทั้งสุข เศร้า และอิ่มเอมใจไปพร้อมๆ กัน!




