เรื่อง Mishima:

หนังญี่ปุ่น เรื่อง Mishima: A Life in Four Chapters (1985)

Mishima: A Life in Four Chapters (1985) ย้อนรอยชีวิต “ยูกิโอะ มิชิมะ” นักเขียนผู้จบชีวิตด้วยพิธีกรรมที่โลกต้องตะลึง!หากคุณเป็นคนที่สนใจทั้งวรรณกรรมญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์การเมือง และชีวิตที่เต็มไปด้วยปริศนาของอัจฉริยะ วันนี้เราขอพาไปรู้จักกับภาพยนตร์ที่ไม่ใช่แค่หนังชีวประวัติธรรมดา แต่เป็นงานศิลปะที่ล้ำลึกอย่าง “Mishima: A Life in Four Chapters” (1985) ที่กำกับโดย พอล ชเรเดอร์ (Paul Schrader)หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดชีวิตของ ยูกิโอะ มิชิมะ (Yukio Mishima) นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อจริงว่า คิมิทาเกะ ฮิราโอกะ (Kimitake Hiraoka) ชีวิตและงานของเขาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง: จากนักเขียนผู้มีความอ่อนไหวทางศิลปะ สู่การเป็นนักการเมืองชาตินิยมสุดโต่ง และการจบชีวิตลงด้วยการทำ เซ็ปปุกุ (Seppuku) หรือการคว้านท้องอย่างเป็นพิธีกรรมในปี 1970

โครงสร้างอัจฉริยะ: ชีวิตที่ถูกแบ่งออกเป็น “สี่บท”

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษมาก ๆ คือโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนแต่สวยงามตามชื่อเรื่อง นั่นคือการแบ่งชีวิตของมิชิมะออกเป็นสี่ส่วนหลัก ๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับแก่นสารสำคัญในงานเขียนของเขาเอง:

  1. Beauty (ความงาม): เล่าถึงช่วงวัยเด็ก การค้นพบตัวเอง และความหลงใหลในความงามที่นำไปสู่การเป็นนักเขียน
  2. Art (ศิลปะ): โฟกัสไปที่ความหมกมุ่นในร่างกาย การเพาะกายเพื่อท้าทายความอ่อนแอทางกายภาพของตัวเอง และการสร้างสรรค์งานศิลปะที่เต็มไปด้วยความตาย
  3. Action (การกระทำ): แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง การจัดตั้งกองทัพส่วนตัว (Tatenokai) และความต้องการที่จะเห็นญี่ปุ่นกลับคืนสู่รากเหง้าของจักรพรรดิ
  4. Harmony of Pen and Sword (ความสอดคล้องของปากกาและดาบ): ซึ่งคือบทสุดท้ายที่เป็นเหตุการณ์จริงในวันสุดท้ายของชีวิตเขาในปี 1970 ณ กองบัญชาการกองกำลังป้องกันตนเอง

การสลับฉากระหว่างภาพยนตร์สีที่เล่าถึง วันสุดท้าย (The Final Day) กับฉากขาวดำที่เล่าถึง อดีต (Flashbacks) และฉากย้อนอดีตที่เป็น ภาพละครเวที (Theatrical Adaptations) จากงานเขียนของเขา ทำให้ผู้ชมได้เห็นมิติของมิชิมะในฐานะ มนุษย์ นักเขียน และนักรบ ไปพร้อม ๆ กัน

 เรื่อง Mishima:

ความขัดแย้งในจิตใจมิชิมะ (Internal Conflicts)

แก่นสำคัญที่หนังพยายามสำรวจคือ ความขัดแย้ง ภายในตัวมิชิมะเอง เขาเป็นนักเขียนที่ได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตก แต่กลับหลงใหลในขนบธรรมเนียมและจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นโบราณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

  • มิชิมะ ไม่เพียงแต่เขียนถึงความตายและความงามเท่านั้น แต่เขายัง ปรารถนา ที่จะให้ชีวิตของเขากลายเป็นงานศิลปะชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นประเด็นที่นักจิตวิทยาด้านศิลปะและวรรณกรรมมักนำมาศึกษา ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจว่าความต้องการที่จะเชื่อม “ชีวิต” เข้ากับ “งานศิลปะ” นั้นนำไปสู่จุดจบอันน่าสยดสยองได้อย่างไร

เรื่อง Mishima:

งานภาพที่สวยงามราวกับบทกวี

ผู้กำกับพอล ชเรเดอร์ ร่วมมือกับตากล้อง จอห์น ไอลส์ และนักดนตรีประกอบ ฟิลิป กลาส (Philip Glass) สร้างสรรค์งานภาพที่สวยงามและมีเอกลักษณ์มาก ๆ

  • การใช้สี: สีต่าง ๆ ในหนังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ฉากย้อนอดีตเป็นสีขาวดำเพื่อเน้นถึงความจริงที่ถูกเก็บงำไว้ ส่วนฉากละครเวทีจะมีสีจัดจ้านเพื่อเน้นย้ำถึงความเหนือจริงและพลังทางศิลปะของมิชิมะ
  • ดนตรี: เพลงประกอบสไตล์มินิมอลลิสต์ของ ฟิลิป กลาส ที่ตอกย้ำด้วยทำนองซ้ำ ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกตึงเครียดและชวนให้หลงใหล มันเหมือนกับการเดินไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

การแสดงที่ทรงพลัง

ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะไม่ได้ฉายในญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเนื่องจากประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง แต่ เคน โอกาตะ ผู้รับบทเป็นมิชิมะสามารถถ่ายทอดบุคลิกที่ซับซ้อน ความเย่อหยิ่ง ความอ่อนไหว และความมุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่งของนักเขียนผู้นี้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง

💖 สรุปความเห็นส่วนตัว: มากกว่าชีวประวัติ คือการสำรวจจิตวิญญาณ

สำหรับฉันแล้วไม่ใช่แค่การเรียนรู้ชีวประวัติ แต่คือการศึกษา “จิตวิญญาณ” ที่ขัดแย้งและเต็มไปด้วยความลุ่มหลงของอัจฉริยะคนหนึ่ง หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่า เส้นแบ่งระหว่าง ความงาม ศิลปะ และความคลั่งไคล้ มันบางเบาแค่ไหน

ถ้าคุณชอบหนังที่ไม่ได้เล่าเรื่องแบบเส้นตรง ชอบงานภาพที่ประณีต และต้องการทำความเข้าใจว่าทำไมคนคนหนึ่งจึงเลือกจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีที่รุนแรงและเป็นพิธีกรรมเพื่อทิ้งมรดกทางความคิดไว้ให้โลกจดจำ หนังเรื่องนี้คือ “บทเรียนที่สำคัญ” ที่คุณไม่ควรพลาดค่ะ!

Scroll to Top