ฮัลโหลความสยอง

ฮัลโหลความสยอง “Black Phone 2” กอบกู้หน้าให้บ้านบลัมเฮาส์ในรอบปี

ในที่สุด ค่ายหนังสยองขวัญสุดแกร่งอย่าง Blumhouse ก็ได้ยินเสียงกริ่งแห่งชัยชนะอีกครั้ง หลังต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ ‘น่าขนลุก’ ในแง่ของรายได้มาตลอดปี “Black Phone 2” ภาคต่อของหนังสยองขวัญซ่อนปมจากปี 2022 ได้พิสูจน์แล้วว่า มันไม่ใช่แค่การขยายจักรวาลที่น่ากลัว แต่ยังเป็น ‘ผู้กอบกู้’ ที่พาค่ายหนังกลับมายืนหนึ่งได้อย่างสง่างามในช่วงเดือนฮาโลวีน

การเปิดตัวของ Black Phone 2 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงกลางบ็อกซ์ออฟฟิศที่กำลังซบเซา ด้วยยอดเปิดตัวในประเทศที่ 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (อ้างอิงจากตัวเลขเบื้องต้น) ซึ่งสูงกว่าภาคแรกที่เคยทำไว้ $23.6 ล้านเหรียญฯ เสียอีก แถมยอดรวมทั่วโลกก็พุ่งไปที่ 42 ล้านเหรียญฯ นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับ Blumhouse ที่ก่อนหน้านี้มีหนังที่ทำเงินน่าผิดหวังหลายเรื่อง ทั้ง Wolf Man และ The Woman in the Yard

เมื่อความสยองเปลี่ยนไป: Grabber คืนชีพในฐานะ ‘ผีแค้น’อะไรทำให้ภาคต่อเรื่องนี้ประสบความสำเร็จขนาดนี้? หากภาคแรกคือหนังสยองขวัญเชิงจิตวิทยาที่เน้นการเอาชีวิตรอดจากฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดอย่าง ‘The Grabber’ (นำแสดงโดย Ethan Hawke) ภาคที่สองนี้ได้ยกระดับความน่ากลัวไปอีกขั้น ด้วยการพา The Grabber กลับมาในฐานะ ‘วิญญาณอาฆาต’ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

ฮัลโหลความสยอง

สี่ปีหลังจากที่ ‘ฟินนี่’ (Finney – Mason Thames) จัดการกับฆาตกรโรคจิตได้สำเร็จ ชีวิตของเขากลับไม่สงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น อาการบาดเจ็บทางใจในอดีตทำให้เขาต้องต่อสู้กับความโกรธแค้นและหลีกหนีความจริงด้วยการใช้ยาเสพติด ตรงกันข้ามกับ ‘เกว็น’ (Gwen – Madeleine McGraw) น้องสาวที่มีพลังจิตเหมือนแม่ ซึ่งเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพ่อที่เลิกเหล้าได้แล้ว

แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงแค่นั้น เมื่อเกว็นเริ่มเห็นภาพนิมิตอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเด็กชายสามคนที่ถูกฆาตกรรม ณ ค่ายเยาวชนคริสเตียนแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Alpine Lake ค่ายที่มีความเกี่ยวพันกับอดีตของแม่เธอ! การเดินทางตามหาความจริงของสองพี่น้องเพื่อคลี่คลายปริศนาจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ

Black Phone 2 ไม่ได้แค่เล่าเรื่องสยองขวัญแบบเดิมๆ แต่เป็นการขยายจักรวาลที่เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบันของครอบครัว Shaw เข้ากับต้นกำเนิดของ The Grabber อย่างลึกซึ้ง ซึ่งผู้กำกับ Scott Derrickson และผู้ร่วมเขียนบท C. Robert Cargill (ที่สร้างความสำเร็จจากภาคแรก) ก็ทำได้อย่างชาญฉลาด พวกเขาทำให้ The Grabber ไม่ได้เป็นแค่มนุษย์โรคจิตธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นปีศาจที่ใช้ความกลัวของเหยื่อเป็นพลังงาน คล้ายกับ Freddy Krueger ใน Springsteen: Deliver Me From Nowhere ที่สามารถโจมตีเกว็นได้ทั้งในฝันและโลกแห่งความเป็นจริง!

ไม่ใช่แค่รายได้ แต่คือ ‘กระแสบวก’ ที่กลับมาความสำเร็จของ Black Phone 2 ไม่ได้วัดแค่ตัวเลข แต่วัดจากเสียงวิจารณ์ในแง่บวกที่เริ่มไหลกลับมา (แม้ว่าบางส่วนจะยังมองว่าบทอาจจะยาวไปบ้าง) นักวิจารณ์หลายคนชื่นชมที่หนังภาคนี้ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ แต่กล้าที่จะสำรวจประเด็นที่หนักแน่นกว่าเดิม เช่น การจัดการกับบาดแผลทางใจ (PTSD) ของเหยื่อ และการวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อที่ปิดหูปิดตาในสังคมคริสเตียนบางกลุ่ม

การที่หนังทำรายได้เปิดตัวสูงกว่าภาคแรก (ถึงแม้ภาคแรกจะทำรายได้รวมทั่วโลกไปกว่า $161 ล้านเหรียญฯ) ถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมที่ตลาดภาพยนตร์ยังคงช้ากว่าปีที่แล้วอยู่ถึง 11% การเปิดตัวที่แข็งแกร่งนี้ทำให้ Black Phone 2 เป็นการส่งสัญญาณแห่งความหวังอย่างแท้จริง และเป็นชัยชนะที่ค่าย Blumhouse คู่ควร หลังต้องอดทนกับปี 2025 ที่เต็มไปด้วยหนังที่ทำผลงานได้ไม่น่าพอใจ

สรุปได้เลยว่าแฟนหนังสยองขวัญที่โหยหาความสดใหม่ ความระทึกขวัญที่มาพร้อมกับมิติทางอารมณ์ และต้องการเห็นการกลับมาที่น่ากลัวกว่าเดิมของ The Grabber… ก็ได้เวลาแล้วที่คุณจะต้อง ‘รับสาย’ จาก Black Phone 2

Scroll to Top