“รีวิวเกม Once Upon a Katamari สัมผัสแรก: เกมสุดรีแลกซ์สายฮาแดนปลาดิบ – กลิ้งไปเลยเจ้าชายน้อยเปิดฉากความบ้าคลั่งที่คุ้นเคยถ้าพูดถึงเกมที่ “เพี้ยน” แต่ “น่ารัก” จนน่าใจหาย และเป็นที่รู้กันในหมู่เกมเมอร์ว่าเล่นแล้วโคตรจะสบายใจ หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อซีรีส์ Katamari Damacy อยู่แน่ ๆ และการกลับมาในชื่อ Once Upon a Katamari นี้ คือการตอกย้ำว่า สูตรสำเร็จของเกมกลิ้งลูกบอลยักษ์เก็บทุกสิ่งบนโลก มันยังใช้ได้ผลดีโคตร ๆ แถมภาคนี้ยังมีลูกเล่นใหม่ ๆ ที่ทำให้การเดินทางข้ามเวลาของเราสนุกยิ่งกว่าเดิม
King of All Cosmos ราชาผู้ยิ่งใหญ่สุดโอ่อ่า (และบ้าบอ) ของเราได้ทำเรื่องยุ่งอีกแล้ว! คราวนี้ท่านเผลอไปทำลายโลก ดวงจันทร์ และดวงดาวหลายดวงตอนกำลังเล่นกับม้วนกระดาษโบราณ… ใช่ครับ “ทำลายจักรวาล” อีกแล้ว และภารกิจอันยิ่งใหญ่ (แต่โคตรจะไร้สาระ) ก็ตกอยู่กับ The Prince เจ้าชายน้อยตัวจิ๋ว ที่ต้องนั่งยานข้ามเวลาไปกลิ้งลูกบอล “คาตามาริ” เพื่อเก็บสิ่งของจากยุคต่าง ๆ ทั้งยุคไดโนเสาร์ ยุคน้ำแข็ง หรือญี่ปุ่นโบราณ เพื่อเอาไปสร้างดาวดวงใหม่ให้กลับมาเต็มฟ้าอีกครั้ง ฟังแล้วปวดหัวไหม? ไม่เลยครับ มันคือความวายป่วงที่ลงตัวของ Katamari นี่แหละ!
Gameplay ที่โคตรจะ “Zen” แต่ก็ “Frantic” ในเวลาเดียวกัน
หลักการเล่นของ Katamari นั้นง่ายแสนง่ายเหมือนเดิม: กลิ้งไปเลยเจ้าหนู! เราจะควบคุมเจ้าชายให้กลิ้งลูกบอลเหนียว ๆ ที่เรียกว่า “คาตามาริ” ไปตามฉาก ลูกบอลนี้จะดูดจับทุกสิ่งที่เล็กกว่ามันได้ ตั้งแต่เหรียญ คลิปหนีบกระดาษ ไปจนถึงผู้คน ต้นไม้ บ้านเรือน ยิ่งกลิ้งนาน ลูกบอลก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถกลิ้งเอาตึกรามบ้านช่องหรือแม้แต่เมฆบนฟ้ามาติดได้
ความรู้สึกในการเล่นคือมัน “ผ่อนคลาย” อย่างน่าประหลาดใจ การเห็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยมารวมกันเป็นกองพะเนินเทินทึก ทำให้เกิดความรู้สึก “สะใจ” แบบเดียวกับการได้จัดระเบียบของรก ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง หรือเหมือนกับการเล่นเกมพัซเซิลแบบ Tetris ที่สมองได้รับการกระตุ้นในจุดที่ลงตัว
แต่ในความผ่อนคลายนั้นก็มีความ “วุ่นวาย” (Frantic) ซ่อนอยู่ เพราะทุกฉากมี “เวลาจำกัด” แถม King of All Cosmos ก็ยังคอยบ่น คอยแซะเราตลอดเวลา (ซึ่งเป็นการบ่นที่ตลกมาก!) มันทำให้เราต้องเร่งมือมองหาเส้นทางที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มขนาดคาตามาริให้ได้ตามเป้าหมายก่อนหมดเวลา การกลิ้งหลบสิ่งของที่ใหญ่เกินไปในช่วงแรก หรือการค้นหา “มงกุฎ” และ “ของสะสม” ที่ซ่อนอยู่ทั่วฉาก ก็เป็นรสชาติที่ขาดไม่ได้ของซีรีส์นี้
สิ่งที่ทำให้ภาคนี้มัน “สดใหม่”
ถึงแม้จะรักษาสูตรเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ Once Upon a Katamari ก็ใส่ลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาอย่างชาญฉลาด:
- การเดินทางข้ามเวลา (Time-Traveling): อันนี้คือจุดเด่นเลย การที่เราได้กลิ้งคาตามาริในฉากที่หลากหลายทางประวัติศาสตร์ มันทำให้ไอเทมและสภาพแวดล้อมมีความแปลกใหม่ไม่ซ้ำซาก เราจะได้เจอทั้งไดโนเสาร์ ซามูไร หรือแม้แต่ชุดอวกาศในฉากเดียวกัน (ถ้าคาตามาริใหญ่พอ!) ซึ่งสร้างความประหลาดใจและเสียงหัวเราะได้ตลอด
- เครื่องมือสนับสนุน (Support Tools): ภาคนี้มีของช่วยใหม่ ๆ อย่าง “แม่เหล็ก” ที่ช่วยดูดไอเทมที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ติดคาตามาริได้ง่ายขึ้น หรือ “จรวด” ที่เร่งความเร็วในการกลิ้ง อันนี้ช่วยให้การเล่นสนุกขึ้นมาก โดยเฉพาะในภารกิจที่ท้าทาย
- โหมด KatamariBall: สำหรับสายแข่ง ภาคนี้มีโหมด Multiplayer 4 คน ชื่อ KatamariBall ที่ให้เราแข่งกันกลิ้งคาตามาริให้ใหญ่ที่สุดเพื่อทำคะแนน เป็นการเพิ่มความท้าทายและโอกาสในการปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ (ถึงแม้ว่าการควบคุมอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุดในการแข่งก็ตาม)
- เพลงประกอบ (Soundtrack): จะไม่พูดถึงไม่ได้ เพลงประกอบสไตล์ J-Pop, Funk และ Jazz ที่โคตรจะ Groovy คือหัวใจสำคัญของ Katamari ภาคนี้ก็ยังทำได้ดีงามตามมาตรฐาน มันเป็นเพลงที่ฟังแล้วอยากจะโยกตัวตามไปด้วยในขณะที่กำลังกลิ้งเก็บก้อนเมฆ หรือกลิ้งเอาปลาหมึกยักษ์มาติดลูกบอล
สรุป: กลับมาอย่างยิ่งใหญ่และไร้สาระ
เกมสุดรีแลกซ์สายฮาแดนปลาดิบ เป็นการกลับมาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างล้นเหลือของแฟรนไชส์นี้ มันมอบประสบการณ์ที่ผสมผสานความสงบของจิตใจและความบ้าคลั่งเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเกม Katamari มาตั้งแต่ยุค PlayStation 2 หรือเป็นผู้เล่นใหม่ที่กำลังมองหาเกมฮา ๆ เล่นสบาย ๆ ที่ไม่เหมือนใคร เกมนี้จะทำให้คุณยิ้มและหัวเราะได้อย่างแน่นอน
เกมนี้อาจจะไม่ใช่การปฏิวัติวงการ แต่เป็นการ “ปรับปรุง” และ “เติมเต็ม” ในทุกจุดที่แฟน ๆ ต้องการ ด้วยจำนวนฉากที่มากขึ้น ความตลกขบขันที่ไม่เคยจางหาย และเพลงประกอบที่ชวนให้โยกตาม ถ้าคุณต้องการเกมที่เล่นแล้วรู้สึกเหมือนสมองได้พัก แต่ใจได้สนุกเต็มที่ อย่าพลาดที่จะหยิบลูกบอลเหนียว ๆ นี้มากลิ้งดูครับ รับรองว่าคุณจะหยุดกลิ้งไม่ได้จนกว่าจะกลิ้งทั้งโลกไปติดคาตามาริของคุณ!”
