รีวิวเกม Art of Vengeance

Art of Vengeance ในปี 2025 ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จของเหล่าแฟนๆ เกมแพลตฟอร์มนินจา 2 มิติ เหล่าสไปรท์เลือด 16 บิตบนดาบคาตานะของ Ninja Gaiden: Ragebound แทบจะแห้งเหือด และตอนนี้ ซีรีส์ Shinobi อันโด่งดังของ Sega ก็กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานถึง 14 ปี สู่การขว้างคุไนเข้าใส่ต่อมหมวกไตของคุณ Shinobi: Art of Vengeance กลับมาอีกครั้งในรูปแบบเกมสแลชแอนด์แดช ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับสไตล์เกมยุคใหม่ เสริมพลังให้กับโจ มูซาชิ ฮีโร่ผู้กลับมาอีกครั้ง ด้วยทักษะนินจาอันทรงพลังที่อัดแน่น และนำเสนอในรูปแบบงานศิลป์ที่วาดด้วยมืออันงดงาม ทำให้เกิดการผจญภัยที่บางครั้งก็ดูยากลำบาก แต่ในขณะเดียวกันก็สบายตา แม้ว่าซีรีส์ Shinobi อาจจะต้องถูกเนรเทศไปอย่างเจ็บปวด แต่การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ก็คุ้มค่ากับการรอคอยอย่างแน่นอน

แผนการของ Art of Vengeance

ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากแผงวงจรของเครื่องเกมยุค 80 เสียแล้ว องค์กรกึ่งทหารชั่วร้าย ENE Corp นำโดยลอร์ดรูสผู้บ้าคลั่ง ได้ครองโลกด้วยกำลัง และความรับผิดชอบในการโค่นล้มพวกเขาตกอยู่ที่ไหล่ของโจ มูซาชิ ผู้สวมผ้าลินินสะอาดสะอ้าน มูซาชิยอมจำนนต่อชีวิตเรียบง่าย คอยให้คำปรึกษาแก่เหล่าศิษย์นินจาหนุ่มในที่ลับตาราวกับโอบิวัน ชิโนบิ แต่เมื่อ ENE นำความรุนแรงมาสู่หมู่บ้านของเขา เขากลับถูกบังคับให้แก้แค้นทหาร วิญญาณ และซามูไรทุกคนที่ขวางทางเขาตลอดการสังหารหมู่ข้ามทวีปนาน 10 ชั่วโมง มันเป็นเรื่องง่ายๆ แน่นอน แต่มันคือแรงจูงใจทั้งหมดที่ฉันต้องการเพื่อเปลี่ยนกองกำลัง ENE ให้กลายเป็นหุ่นทดสอบฝีมือ และฉันก็ดีใจมากที่มูซาชิปล่อยให้ดาบของเขาพูดแทน ตามจริงแล้ว เขามักจะครางในฉากสนทนาเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ระหว่างการเผชิญหน้ากันอันกว้างขวางแต่ละครั้ง

โครงเรื่องอาจสอดคล้องกับยุคภาพยนตร์แอคชั่นเรียบง่ายที่ซีรีส์นี้ถือกำเนิดขึ้น แต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับดูทันสมัยอย่างน่าทึ่ง เช่นเดียวกับ Streets of Rage 4 ของผู้พัฒนา Lizardcube ก่อนหน้านี้ ตัวละครและสภาพแวดล้อมของ Art of Vengeance มีสไตล์การวาดด้วยมืออย่างพิถีพิถัน ซึ่งสร้างผลลัพธ์อันน่าทึ่งได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เรือคอนเทนเนอร์ขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นเป็นฉากหลังของเวทีตลาดปลา ไปจนถึงเงาสะท้อนในแอ่งน้ำที่พุ่งทะยานผ่านความเร่งรีบอย่างไม่หยุดยั้งของมูซาชิ ปรากฏว่าการแก้แค้นไม่ใช่ศิลปะแขนงเดียวที่ชิโนบิภาคล่าสุดนี้ตั้งใจจะถ่ายทอดออกมา นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในแต่ละฉากที่ทำให้แต่ละฉากน่าสำรวจอย่างมีเอกลักษณ์ ตั้งแต่ป่าไผ่เขียวชอุ่มในฉากเปิดเรื่อง ไปจนถึงส่วนในที่น่าสำรวจของไคจูที่ดูน่าขยะแขยงราวกับหลุดออกมาจากตอนหนึ่งของ Rick and Morty

แน่นอน นี่คือบทสรุปรีวิวเกม Shinobi: Art of Vengeance ที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมาให้คุณ:

ภาพรวมของเกม Art of Vengeance

Art of Vengeance เป็นเกมแนว Action Platformer ที่นำซีรีส์ Shinobi กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ตัวเกมยังคงเอกลักษณ์เดิมคือความรวดเร็ว ดุดัน และท้าทาย แต่ได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น ทั้งในด้านกราฟิกและระบบการเล่น

จุดเด่นของเกม Art of Vengeance

  • ความรวดเร็วและดุดัน เกมเพลย์เน้นการเคลื่อนที่ที่รวดเร็ว การโจมตีที่รุนแรง และการใช้ทักษะนินจาต่างๆ ผู้เล่นจะรู้สึกเหมือนเป็นนินจาจริงๆ ที่ต้องวางแผนการเข้าโจมตีและหลบหลีกอย่างชาญฉลาด
  • กราฟิกและงานศิลป์ เกมนี้โดดเด่นด้วยงานศิลป์ที่วาดด้วยมือแบบเฟรมต่อเฟรม ทำให้การเคลื่อนไหวของตัวละครดูเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา ฉากหลังถูกออกแบบอย่างประณีตด้วยเทคนิคหลายเลเยอร์ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูแอนิเมชันที่สวยงาม
  • ระบบการต่อสู้ที่หลากหลาย ผู้เล่นสามารถใช้การโจมตีได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการใช้ดาบ อาวุธนินจา (เช่น คุไน) และ วิชานินจา (Ninki และ Ninpo) ซึ่งแต่ละอย่างมีผลที่แตกต่างกัน ทำให้การต่อสู้ไม่น่าเบื่อ
  • ความท้าทาย เกมนี้ยังคงความยากในแบบฉบับ Shinobi ดั้งเดิม ไม่มีไอเทมฟื้นพลังให้เก็บระหว่างทาง ผู้เล่นต้องอาศัยการเข้าถึงจุดเช็คพอยต์เท่านั้น ทำให้เกมท้าทายและต้องใช้ทักษะในการเล่นสูง
  • เนื้อหาและราคา ตัวเกมมีเนื้อหาที่คุ้มค่ากับราคาที่ขาย โดยใช้เวลาเล่นประมาณ 12-15 ชั่วโมงสำหรับการเล่นเนื้อเรื่องหลัก และอาจจะถึง 20-25 ชั่วโมงหากต้องการเก็บความลับต่างๆ ให้ครบ

ข้อสังเกตในเกม Art of Vengeance

  • การควบคุม ผู้เล่นบางคนอาจรู้สึกว่าการควบคุมด้วยคีย์บอร์ดหรือคอนโทรลเลอร์อาจต้องใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อย แต่เมื่อชินแล้วจะสามารถสนุกกับเกมเพลย์ได้อย่างเต็มที่
  • การนำเสนอ แม้ตัวเกมจะดู Retro แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และการออกแบบที่ยอดเยี่ยม ทำให้เกมนี้ไม่ได้รู้สึกเก่าเลย แต่ยังคงให้ประสบการณ์ที่สดใหม่และน่าตื่นเต้น

ด่านทั้ง 14 ด่านของ Art of Vengeance

  • ด่านทั้ง 14 ด่านของ Art of Vengeance ล้วนมีโครงสร้างที่เหมือนกันหมด ด่านแรกจะพาคุณตะลุยความวุ่นวายบนหลังคารถไฟที่กำลังแล่นด้วยความเร็วสูง
  • ด่านหนึ่งจะให้คุณเดินสำรวจเส้นขอบฟ้าของเมืองนีโอซิตี้ไปทุกทิศทุกทางเพื่อตามหาและช่วยเหลือตัวประกัน ขณะที่อีกด่านหนึ่งจะพาคุณดำดิ่งสู่เขาวงกตแห่งทางเดินมืดมิดในฐานทัพลับทางตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ซึ่งเหล่ามิวแทนต์คล้ายเมทรอยด์จะพุ่งเข้าใส่คุณอย่างกะทันหันผ่านกระจกแตกของถังพักน้ำ
  • แต่ละด่านยังมีความหลากหลายมากมาย เช่น ด่านบนภูเขาที่เปลี่ยนจากพื้นที่โรงงานเหล็กที่เรียงรายไปด้วยลาวา ไปสู่เนินหินถล่มที่ไหลลงสู่หุบเหว แม้ว่าจะมีปริศนาสลับฉากหรือฉากไล่ล่าซ้ำๆ บ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็มีเป้าหมายใหม่ๆ มากมายให้พิชิตและสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ให้สำรวจ ทำให้การเดินทางยังคงคมชัดดุจดาวกระจายตั้งแต่ต้นจนจบ ด่านโบนัสที่นำฉากการเล่นเซิร์ฟจากเกม Shinobi III กลับมาอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เมื่อไม่มีฉากไหนที่เด็กๆ จะนึกถึงได้เจ๋งไปกว่านินจาบนกระดานโต้คลื่นอีกแล้ว

Art of the Steel

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คงไร้ค่าหากการต่อสู้ไม่หนักหน่วง แต่โชคดีที่การต่อสู้ของ Art of Vengeance นั้นดุเดือด ลื่นไหล และยอดเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ ต่างจากศัตรูใน Ninja Gaiden: Ragebound ที่ส่วนใหญ่สามารถจัดการได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ตัวร้ายส่วนใหญ่ใน Art of Vengeance มีแถบพลังชีวิตที่ต้องลดทอนด้วยการโจมตีคอมโบที่ฉับไว ทำให้รู้สึกเหมือนเกมต่อสู้บนแพลตฟอร์มมากกว่าเมื่อเทียบกับการโจมตีที่แม่นยำและหนักหน่วงกว่าของ Ragebound Musashi สามารถทำคอมโบได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งเกม โดยใช้การโจมตีด้วยดาบเบาและหนัก รวมถึงการใช้มีดคุไนขว้าง – แต่เมื่อผมปลดล็อกชุดการโจมตีใหม่จากพ่อค้าในเกม ผมก็สามารถจัดการนินจาศัตรูกลางอากาศด้วยการฟันดาบ พุ่งทะยานด้วยเตะกระโดดไฟ และทำลายการป้องกันของพวกมันด้วยการโจมตีหมุนตัวราวกับกงล้อแคทเธอรีนของดาบคาตานะ ขณะที่คอมโบของผมกำลังเข้าใกล้เลขสามหลัก ทุกสิ่งทุกอย่างให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อ และมีรางวัลสำหรับการจัดลำดับการโจมตีของคุณอย่างถูกต้อง เช่น กำหนดเวลาการเคลื่อนไหวประหารชีวิตเมื่อศัตรูใกล้จะหมดแรงและพวกมันหายตัวไปพร้อมกับเลือดที่กระเซ็นอย่างน่าตื่นตะลึง นอกจากนี้ยังมีเหรียญที่มีค่าและค่าเพิ่มพลังชีวิตที่ส่งตรงไปยังกระเป๋าหลังของคุณอีกด้วย

สรุป

Shinobi: Art of Vengeance เป็นเกม Action Platformer ที่ยอดเยี่ยมและคุ้มค่าอย่างยิ่งสำหรับแฟนๆ เกมแนวนี้ หรือผู้ที่ชื่นชอบซีรีส์ Shinobi ดั้งเดิม การผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความทันสมัยทำให้เกมนี้เป็นหนึ่งในเกมที่น่าจับตามองและห้ามพลาดในปีนี้เลยทีเดียว

Scroll to Top